สารพัดโรคฮิตจากอาการติดจอที่หลายคนยังไม่รู้ตัว
ยุคนี้สมัยนี้ไม่ว่าเราจะหันมองไปทางไหน ส่วนใหญ่มักจะเห็นแต่คนก้มหน้าก้มตาเพลิดเพลินไปกับสมาร์ทโฟนเครื่องโปรดหรือแท็บเล็ตคู่ใจ ทำให้แทบจะไม่ใส่ใจโลกภายนอกชนิดที่ว่าหลงใหลในโลกโซเชียลจนลืมโลกปัจจุบันกันไปเลย แต่ท่านหารู้หรือไม่ว่าสารพันโรคกำลังถามหาคนที่ติดจอกันงอมแงม
เฟซบุ๊กที่ยุคนี้แทบไม่มีใครไม่เคยเล่นสามารถทำให้เราเป็นโรคซึมเศร้าได้ โดยการที่เราเอาใจใส่คุยแต่กับคนในโลกออนไลน์จนเมินคนในโลกความเป็นจริง รวมทั้งยังเป็นที่ระบายความรู้สึกต่างๆ นาๆ จากสเตตัสแล้วแต่ช่วงอารมณ์ ขณะเดียวกันนั้นคนที่เล่นเฟซบุ๊กส่วนใหญ่ก็จะโพสต์แต่สิ่งที่ทำให้ตัวเองเลิศเลอเพอร์เฟคพร้อมทั้งกลบเรื่องแย่ๆ ของตนเอาไว้ ทำให้เราจะเห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบจนแอบเปรียบเทียบกับตัวเองจนรู้สึกไร้ค่าไม่ได้ แม้แต่แค่การถูกปฏิเสธคำร้องขอเป็นเพื่อนก็ทำให้สะเทือนใจได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเราจึงควรลดการเล่นเฟซบุ๊กลงบ้างทั้งโพสต์เองหรืออ่านเรื่องของคนอื่นเพื่อให้เรารู้สึกดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังทำให้เราเป็นโรคละเมอแชทได้อีกด้วย โดยเกิดจากการที่เราติดสมาร์ทโฟนจนเกินไป ทำให้สมองของเรายึดติดตลอดเวลาแม้ตอนนอนหากมีข้อความเข้ามาสมองก็จะปลุกเราขึ้นมาในสภาวะละเมอแล้วกดส่งข้อความไปอัตโนมัติ ซึ่งเราเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขียนอะไรไปหรือส่งไปหาใครจนทำให้เสี่ยงต่อการเข้าใจผิดได้ นอกจากนี้ยังเป็นเหตุที่ทำให้เราหลับไม่เต็มอิ่มจนส่งผลให้ร่างกายเครียดสะสม ทำให้เสี่ยงต่อเป็นโรคอ้วนหรือฝันร้ายจนกระทบต่อการเรียนหนังสือหรือทำงาน
จากการที่เราใช้งานดวงตาหนักกว่าเดิมด้วยการเพ่งข้อความในจอสี่เหลี่ยมเล็กๆ มันส่งผลให้เป็นโรควุ้นในตาเสื่อม ซึ่งโรคนี้มักเป็นในผู้สูงอายุที่ใช้งานดวงตาจนเสื่อมไปตามกาลเวลา แต่ว่าน่าตกใจไม่น้อยเมื่อปัจจุบันพบคนเป็นโรคนี้ด้วยวัยที่น้อยลง อย่างไรก็ดีมีวิธีป้องกันได้ไม่ยากจากการที่ให้เรารู้จักพักสายตามองไปในที่ไกลๆ พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ร่างกายได้ผ่อนคลาย และก็ขอให้รู้จักใช้เทคโนโลยีให้พอดีเท่านั้นเอง สำหรับท่านที่มีอาการรู้สึกหงุดหงิดเมื่ออยู่ในที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรืออินเตอร์เน็ตตลอดจนแบตเตอรี่หมดจนกระวนกระวาย ท่านรู้ไว้ได้เลยว่ากำลังเป็นโรคโนโมโฟเบีย ซึ่งแปลตรงตัวก็คือโรคกลัวไม่มีมือถือใช้นั่นเอง โดยเป็นหนึ่งในโรคทางจิตเวชที่อยู่ในกลุ่มวิตกกังวล และหากเป็นเอามากอาจมีอาการเครียด, เหงื่อออก, ตัวสั่น และคลื่นไส้ได้เลยทีเดียว
ตบท้ายกันด้วยโรคสมาร์ทโฟนเฟซ ซึ่งเกิดจากการที่เราก้มมองหน้าจอหรือจ้องสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตนานเกินไป ที่ทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็งจนเพิ่มแรงกดบริเวณแก้ม และหากถูกแรงกดเป็นเวลานานก็จะทำให้เส้นใยอิลาสติกบนใบหน้ายืด ทำให้แก้มตรงกรามย้อยลงมา รวมทั้งยังส่งผลให้กล้ามเนื้อที่มุมปากตกไปทางคางอีกต่างหาก ซึ่งทำให้ใบหน้าดูแปลกตาจนเห็นได้ชัดจากการถ่ายภาพด้วยอุปกรณ์ของตนเอง และหากเป็นมากๆ อาจถึงขั้นต้องศัลยกรรมกันเลยล่ะ
ทีมงาน meemodel ที่ชื่นชอบการเขียนบทความ และสนุกกับการใช้ชีวิต